สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวู้ดฉายาที่ไม่ได้มาง่ายๆ

ประวัติและความสำเร็จในวงการภาพยนตร์

สตีเวน สตีเวนเกิดในครอบครัวของชาวยิวที่มีธรรมเนียมเป็นกลุ่มยิวอะซเคนาซี ขณะที่ยังเป็นนักเรียนชั้นประถม สตีเวนได้ถ่ายภาพยนตร์มือเล็กของเขาด้วยกล้องมือถือเป็นรายการทีวี ซึ่งเป็นการถ่ายทำที่น่าสนใจ หลังจากนั้นเขาได้เริ่มศึกษาการทำภาพยนตร์ในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและสภาพภูมิภาค เช่น การต่อต้านการซ้อมทหารญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ในช่วงปีหลังจากการศึกษาสตีเวนได้ทำการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ชื่อ Amblin’ (1968) ซึ่งเป็นภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกของเขา ในปี พ.ศ. 2522 เขาก่อตั้งบริษัทซึ่งเป็นเพื่อนำภาพยนตร์นักแสดงและนักกำกับที่สนใจมาทำการทำภาพยนตร์ ทำให้เขาได้รับการยอมรับในวงการภาพยนตร์ในระดับนานาชาติ ในปี พ.ศ. 2525 สตีเวนได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Jaws ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ครบรอบ 10 ปี ในปี พ.ศ. 2526 สตีเวนได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Close Encounters of the Third Kind ซึ่งถูกตั้งใจให้เป็นภาพยนตร์ที่ให้กำไรที่ครบรอบ 20 ปี ส่วนในปี พ.ศ. 2527 สตีเวนได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Raiders of the Lost Ark ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เขาได้รับกำไรมากที่สุดในกำกับภาพยนตร์ดังกล่าว

ในช่วงปีหลังจากความสำเร็จในสงครามโลกครั้งที่สอง สตีเวนได้ตัดสินใจที่จะกำกับภาพยนตร์แนวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าเป้าหมายของผู้หญิง สตีเวนกล่าวว่าในปี พ.ศ. 2530 เขาได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงสายงานของเขาเพื่อกำกับภาพยนตร์แนวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางจิตใจและทางร่างกายของชาย และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและภัยความเสี่ยงของมนุษย์ที่เขาสนใจ ในช่วงเวลานี้เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง E.T. the Extra-Terrestrial ซึ่งถูกตั้งใจให้เป็นภาพยนตร์ที่ให้กำไรที่ครบรอบ 30 ปี

นักกำกับภาพยนตร์ นักเขียนบทและนักผลิตภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ด เรื่องนี้ชื่อสตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) มีผลงานที่มีชื่อเสียงเช่น ‘Jaws,’ ‘E.T.,’ ‘The Color Purple’ และ ‘Schindler’s List’ รวมถึงผลงานอื่นๆ อีกมากมาย

สตีเวน สปีลเบิร์กเป็นนักทำภาพยนตร์ระดับมืออาชีพตั้งแต่เด็กเล็ก และเขาได้กลายเป็นนักกำกับที่สำเร็จอย่างมากในภาพยนตร์ต่างๆ เช่น Schindler’s List, The Color Purple, E.T.: The Extra-Terrestrial, Saving Private Ryan, Catch Me If You Can, Lincoln และ Bridge of Spies ในปี พ.ศ. 2537 เขาได้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Dreamworks SKG ซึ่งถูกซื้อขายโดยค่าย Paramount Pictures เมื่อปี พ.ศ. 2548

เริ่มต้นการทำงานในช่วงต้นความสำเร็จของสตีเวน สปีลเบิร์กเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2517 ที่ซิงซินนาตี รัฐโอไฮโอ สตีเวนย้ายบ้านมากันหลายครั้งในช่วงการเติบโตและเสียเวลาในการเป็นเด็กที่อิอาซอนา ในช่วงปลายยุค 1960 เขากลายเป็นนักกำกับโทรทัศน์ที่เยาว์เนอร์ซัลในปี พ.ศ. 2510 ภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ได้รับคำชมเยียวยามากมายเรื่องหนึ่งคือ Duel (1972) ทำให้เขาได้โอกาสเป็นนักกำกับภาพยนตร์เพื่อทำงานในภาพยนตร์และผลงานดีๆ ที่เขาทำให้เป็นนักกำกับภาพยนตร์ที่สำเร็จทางการค้ามากที่สุดในประวัติศาสตร์

ผลงานภาพยนตร์ของสตีเวน สปีลเบิร์กได้สำรวจความกลัวพื้นฐานเช่นในภาพยนตร์ Jaws (1975) หรือแสดงความคิดสนุกสนานของเด็กในการสำรวจปริมาณมหาศาลของโลกนี้และข้ามไปเหนือนักดัดจริตจากโลกอื่นๆ แต่งเหตุการณ์ ในภาพยนตร์ Close Encounters of the Third Kind (1977) และ E.T. (1982) เขายังสอดคล้องกับการดัดแปลงบทวรรณคดี เช่นภาพยนตร์ The Color Purple (1985) และ Empire of the Sun (1987) และผู้ชมทั่วโลกได้ติดตามการผจญภัยต่อเนื่องของฮีโร่นักผจญได้สุดแสนของเขาแอนดิแอน่า โดยในภาพยนตร์เช่น Raiders of the Lost Ark (1981) และ Indiana Jones and the Temple of Doom (1984) การแสดงนิสัยทางความคิดสร้างสรรค์ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมในภาพยนตร์เรื่อง Hook (1991) ที่เกิดจากความจินตนาการของสตีเวน ในขณะที่ภาพยนตร์ Jurassic Park (1993) และภาพยนตร์ต่อจากนี้ The Lost World: Jurassic Park (1997) ได้รับเป็นหลักในการแสดงความคิดที่นานาประเภท สตีเวนยังกล่าวถึงภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ ภาพยนตร์ Schindler’s List (1993) ซึ่งเกี่ยวกับหยุดยั้งศักดิ์สิทธิ์แห่งอัญชนกศิลปะ ส่วนในปี พ.ศ. 2536 เขาได้กล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่สองในการเสนอเรื่องราวจากมุมมองของนักทหารชาวอเมริกาในยุโรปในภาพยนตร์ Saving Private Ryan (1998) ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ดเป็นครั้งที่สองสำหรับการกำกับภาพยนตร์ที่ดีที่สุด บริษัทภาพยนตร์แรกของเขา Amblin Entertainment ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2525 ได้ดำเนินการผลิตภาพยนตร์สำเร็จและความโชคดีอื่นๆ ซึ่งมีภาพยนตร์สำคัญอย่าง Back to the Future (1985) และภาพยนตร์ต่อจากนี้ อีกด้วย และ Who Framed Roger Rabbit (1988) บทสร้างสรรค์

สตีเวนได้รับรางวัลออสการ์ทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยได้รับรางวัลออสการ์ในสาขาการกำกับภาพยนตร์ที่ครบรอบ 2 ครั้ง และรางวัลในสาขาบทสร้างสรรค์ภาพยนตร์ ส่วนในช่วงเวลานี้สตีเวนได้รับรางวัลที่แม่นยำที่สุดในภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของผู้กำกับที่สนใจและภาพยนตร์ที่เขาสนใจในระดับนานาชาติ ในปี พ.ศ. 2536 และ พ.ศ. 2545 สตีเวนได้รับรางวัลแอมเมริกันสัมพันธ์การศิลปะ ในสาขาการกำกับภาพยนตร์ โดยได้รับรางวัลในการกำกับภาพยนตร์ที่ครบรอบ 3 ครั้ง และรางวัลในสาขาบทสร้างสรรค์ภาพยนตร์